*𝗬𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗮𝗹𝗮𝗿𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘁𝗼𝗼 𝗵𝗶𝗴𝗵, “Rejected”

**𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗮𝗴𝗲 𝗶𝘀 𝗮𝗯𝗼𝘃𝗲 𝟯𝟱, “Rejected”

**𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗳𝗿𝗲𝘀𝗵𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗱𝗼𝗻’𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, “Rejected”

**𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗼𝘃𝗲𝗿𝗾𝘂𝗮𝗹𝗶𝗳𝗶𝗲𝗱, “Rejected”

**𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗽𝗲𝗿𝗶𝗼𝗱 𝗶𝘀 a 𝗺𝗼𝗻𝘁𝗵! 𝗪𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲 𝗵𝗶𝗿𝗶𝗻𝗴, 𝗰𝗮𝗻’𝘁 𝗵𝗶𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂. “Rejected”

But when the employee leaves, we check the separation policy and tell them should serve a notice period for a month.

Please “Stop Looking For The Mythical Perfect Candidate”. There is no perfect candidate.

You’re missing out on great people looking for the perfect candidate.

เห็นใน feed มีการ share เรื่อง SQL Query Optimization! กันเยอะ
ซึ่งอธิบายการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของ SQL กัน
ยกตัวอย่างเช่น

  • LIKE vs REGEXP_LIKE
  • REGEXP_EXTRACT
  • ใช้ temp table แทน IN สำหรับข้อมูลเยอะ ๆ

พอดูแล้วก็คิดว่า มันแปลก ๆ ไหมนะ
แต่สงสัยผมไม่ค่อยใช้คำสั่ง SQL เยอะเท่าไรเลยไม่ค่อยรู้มั้ง

แต่ที่ผมใช้งานจริง ๆ มักจะเป็นดังนี้

  • พวกการ LIKE ต่าง ๆ มักจะไม่ใช้เลย ไปใช้ database model สำหรับการ search ดีกว่าเยอะ แต่ถ้าข้อมูลไม่เยอะ คนใช้งานไม่เยอะ ก็ใช้ ๆ ไปก็ได้มั้ง !! แต่อย่าลืมทำ performacne test ดูด้วยละ หรือ explain ดูด้วยว่าใช้ cost ไปเท่าไร มันสำคัญมาก ๆ
  • อีกอย่าง %X% แบบนี้ลด ละ เลิก ใช้ X% แบบนี้ยังพอทน !
  • ลดการ join ลง โดยใช้การทำ pre-joined หรือเตรียมข้อมูลให้ง่ายต่อการ query ตั้งแต่การจัดเก็บดีกว่า ลด cost ได้เยอะ แถม performance ดีกว่ามาก ๆ (ลูกอีกชั่ง join ลดให้เยอะ ๆ ครับ มันเปลือง)
  • เน้น design for write และ design for read จะมีความยากในการออกแบบพอสมควร แต่ได้ผลดี ลดงาน ลดเวลาไปเยอะ
  • ถ้าต้องมี parameter หรือ ข้อมุลใน IN เยอะ ๆ ตรงนี้ ถ้าไม่เยอะ และ fixed size ถึงจะใช้ IN แต่ถ้าเยอะ และ ไม่รูปขนาดที่ชัดเจน แนะนำให้ใช้ EXISTS ดีกว่า
  • พวก index ก็ใส่ให้ถูก และ มีประสิทธิภาพด้วย ไม่งั้น เดี๋ยวจะเจอปัญหา คือ ขนาดของ index ใหญ่กว่า data ที่เก็บกันอีก !!
  • โลกนี้ไม่ใช่มีแต่ RDBMS นะครับ

ไม่มีผิดมีถูก ต้องดูตามระบบที่ใช้งานด้วย
ว่า performance ตรงตาม business requirement หรือไม่
ถ้าไม่ น่าจะต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกันแล้ว

ในการพัฒนาระบบงานนั้น
เรามักจะแยกส่วนการทำงานต่าง ๆ ออกจากกัน
แต่จำเป็นต้องการติดต่อสื่อสารสารกันผ่านระบบ network
และมีรูปแบบของการติดต่อผ่านสิ่งที่เรียกว่า
API (Application Programming Interface)
ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของ code หรือตาม protocol ต่าง ๆ ก็ว่าไป

โดยที่คุณสมบัติของ API มักจะประกอบไปด้วย

  • Customer หรือ Consumer-driven
  • ใช้งานง่าย หรือ ยากต่อการใช้ผิด
  • ค้นหาได้ง่าย
  • มีหน้าที่ที่ชัดเจน
  • มีความปลอดภัย
  • รองรับการใช้งานที่สูงขึ้น
  • มีประสิทธิภาพที่ดี
  • Backward-compatibility
  • มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน หรือ ทำงานร่วมกับระบบอื่น ๆ ได้ง่าย

เมื่อเราไปดูเรื่องของรูปแบบ API ระหว่างระบบหรือ service

พบว่ามีหลายรูปแบบตามอายุหรือวิวัฒนาการเลย
ซึ่งเรียงตามดังนี้

  • RPC (Remote Procedure Call)
  • CORBA (Common Object) Request Broker Architecture)
  • XML-RPC
  • SOAP (Simple Object Access Protocol)
  • REST
  • JSON-RPC
  • GraphQL, Falcor
  • gRPC

ปล. ใครรู้จักทั้งหมดนี้ แสดงว่าอายุไม่น้อยแล้วนะ !!

ในแต่ละแบบนั้นล้วนมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป

รวมทั้ง use case ของการใช้งานเช่นกับ เช่น

  • Abstraction ของข้อมูล
  • การใช้งานที่ง่าย ในมุมมองของผู้ใช้งาน หรือ ผู้สร้าง
  • แยกการทำงานกันชัดเจน หรือ ผูกมัดกันให้น้อย (Loose coupling)
  • เรื่องของขนาดของ bandwidth ที่ใช้งาน
  • Learning curve

ผู้นำไปใช้งานนั้น จำเป็นต้องรู้และเข้าใจเช่นกันว่า
รูปแบบของ API แต่ละอย่างเป็นอย่างไร
มีข้อดีข้อเสียกับ use case ของเราอย่างไร
เพื่อช่วยให้เราเลือกได้อย่างเหมาะสม

หลายวันที่ผ่านมา มีโอกาสเข้าไปดูและแก้ไขปัญหา
ของ API ในระบบหนึ่ง ซึ่งมีปัญหาต่าง ๆ มากมาย
หนึ่งในนั้นคือ ผลการทำงานที่แย่ หรือ performance ไม่ดี
ทั้งช้า ใช้งาน CPU และ Memory เยอะ

การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคืออะไร ?

  • Restart
  • ขยายเครื่อง หรือ เพิ่มเครื่อง ให้ใหญ่หรือมากขึ้น

แต่ถ้าสำหรับ long term solution มาดูปัญหาที่เป็นอยู่กันหน่อย

เพื่อจะได้แก้ไขที่ต้นเหตุกัน ประกอบไปด้วย

  • การดึงข้อมูลจาก Database ช้ามาก ๆ มาจาก data ที่เยอะ ควมสัมพันธ์ของ data ที่สูง แถม index ก็ไม่ทำ หนักกว่าคือ index ที่ทำไม่มีประสิทธิภาพ
  • Business logic มีความซับซ้อนสูงมาก ๆ ทำงานแบบ sequential และ transaction นาน ๆ หนักสุด ๆ คือ เกิด locked database/table ขึ้นมาอีก
  • Code ไม่ดี หรือ logic/algorithm ไม่ดี ทำงานเยอะไป ใช้งาน CPU/Memory เยอะไป หรือมี code ที่ไม่จำเป็นเยอะ
  • พวก Resource ต่าง ๆ ไปเพียงพอ ถ้าแก้ไขปัญหาข้างต้นหมดแล้ว ยังไม่พอ แสดงว่าต้องเพิ่ม หรือ ขยายแล้วนะ

การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แบบง่าย ๆ หรือเปล่านะ แต่น่าจะเป็นแนวทางที่ดีขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น

ปัญหา business logic ที่ทำงานแบบ sequential และ ซับซ้อน

พบเจอเยอะมาก ๆ สำหรับปัญหานี้
เพราะว่า การทำงานแบบ sequential มันทำได้ง่าย เข้าใจง่าย
แต่บ่อยครั้งพบว่า ขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ อาจจะทำงานพร้อม ๆ กันได้
ไม่จำเป็นต้องรอกัน
ดังนั้นเรื่องของ parallel process จึงเข้ามามีบทบาท
หรือบางงานอาจจะแยกไปทำงานใน process อื่น ๆ ได้
หรืออาจจะทำงานแบบ asynchronous ได้
หรือแยกไปอีกระบบตามแนวคิด event-based architecture ก็ได้

ปัญหาต่อมาคือ ความซับซ้อน อาจจะทำให้ transaction นานเกินไป

ทำให้ database/table เกิด lock ได้
หรือ database ทำงานหนักมาก ๆ
ดังนั้น ควรแยกการทำงานย่อย ๆ หรือเป็นกลุ่มออกมา
เพื่อลดปัญหาการ lock หรือ long transaction ลงไป
แต่ความถูกต้องยังต้องถูกต้องเช่นเดิม ทั้ง success และ fail
หัวใจคือ ในแต่ละ transaction ต้องจบงานเร็วที่สุด
หรือพยายามใช้ caching data เพื่อลดการ access database ลงไป ก็ช่วยได้

ปัญหา API ทำการ return ข้อมูลเยอะเกินไป

ปัญหานี้เกิดจากการ reuse
หรือเหลือดีกว่าขาด
ดังนั้น return ไปเยอะ ๆ เลย
จะใช้อะไรก็เลือกใช้เอง
แบบนี้ดีไหมนะ

Understanding MySQL ENUM Data Type: Storage, Usage, and Best Practices

MySQL, a widely used relational database management system, offers several data types to handle different types of data efficiently. One such data type is ENUM, which stands for “enumerated.”

Introduction to ENUM Data Type

ENUM is a special data type in MySQL that allows you to define a list of permissible values for a column. These values can be easily selected while inserting or updating records in a table. It provides a way to enforce a set of allowed values for a column, restricting the values that can be stored.

How ENUM Stores Data

Contrary to what might be expected, MySQL does not store ENUM data as VARCHAR or TEXT. Instead, it stores ENUM values internally as integers. The actual string values are stored in the metadata of the table. Each string value is associated with a unique integer, representing its position within the defined set of values.

For example, suppose you have an ENUM column called “status” with values ‘active’, ‘inactive’, and ‘pending’. When you insert ‘active’ into the “status” column, MySQL stores it internally as a corresponding integer value (e.g., 1).

This method of storage saves space compared to storing the complete string value in VARCHAR or TEXT. As only the integer representation is stored, it reduces the storage requirements while maintaining clarity.

Querying ENUM Columns

When querying an ENUM column, MySQL translates the stored integer value back into the associated string value, presenting it in the result set. This ensures that the users interact with and retrieve meaningful data, even though the underlying storage is in integer form.

For example, if you query the ENUM column “status” that has the value 1 stored (which corresponds to ‘active’), MySQL will return ‘active’ in the result.

Advantages of Using ENUM

  1. Space Efficiency: ENUM data type optimizes storage by internally representing values as integers, saving space compared to storing complete string values.
  2. Data Integrity: ENUM restricts the values that can be inserted into a column to a predefined set. This helps maintain data integrity, ensuring that only valid values are stored.
  3. Readability: While MySQL stores data as integers, it presents the values in their original string format when retrieved. This maintains clarity and readability for developers and users.

Considerations and Best Practices

  1. Careful Definition: Plan ENUM values carefully, as changes to the defined set can be complex and potentially disruptive. Altering the ENUM list involves possible alterations to the table structure.
  2. Use for Static Data: ENUM is well-suited for columns with a fixed, predefined set of values that are unlikely to change frequently.
  3. Avoid for Long Lists: Avoid using ENUM for a long list of values, as it can degrade performance and lead to unmanageable SQL statements.
  4. Understand the Limitations: ENUM is specific to MySQL and may not be portable to other database systems.

Conclusion

MySQL’s ENUM data type is a powerful tool for enforcing a predefined set of values within a column. By efficiently storing data as integers while presenting them as meaningful strings, ENUM strikes a balance between storage optimization and readability. However, careful planning and understanding of its usage are essential to maximize its benefits while mitigating potential drawbacks.

การป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ย้ำว่า “โรค” ไม่ใช่เพราะคนป่วยทำตัวหดหู่ ไม่มีกิจกรรม มองโลกในแง่ร้าย หรือด้วยเหตุผลอื่นใด จนทำให้จิตใจถดถอยจมอยู่กับความเศร้า

แต่มันเป็นอาการทางสมองที่รักษาได้ด้วยยาเท่านั้น คือไม่ว่าคุณจะพยายามมองโลกในแง่ดี หากิจกรรมทำ ยิ้มแย้มอยู่เสมอ หรือพยายามเข้าหาผู้คน สุดท้ายสิ่งที่คุณพยายามทำมันก็จะกลับมาทิ่มแทงตัวคุณเอง คือไม่ว่าจะทำยังไงมันก็เศร้าอยู่ดี

โรคซึมเศร้านี้มันไม่เหมือนกับความเศร้าอันเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน อะไรเทือกนั้น ที่มันมีจุดสิ้นสุดของมัน หรือทำให้ทุเลาเบาบางลงได้ชั่วคราว โดยการหันเหความสนใจไปยังเรื่องอื่นๆ แต่มันเกิดจากปัจจัยภายในคือสารเคมีในสมอง

การไปบอกให้คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ว่าควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้ ควรมองโลกในแง่ดี หันหน้าเข้าหาธรรมะ เข้าหาผู้คน พยายามยิ้มสู้ความเศร้าของตัวเอง จึงไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากจะผิดประเด็นแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำให้ผู้ป่วยรู้สึกผิดต่ออาการของตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนทั่วไป และฝืนทำอะไรตามที่คนอื่นคาดหวัง ซึ่งเมื่อทำไม่ได้ (และไม่มีทางทำได้เพราะอาการป่วย) สุดท้ายอาการก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก

ดังนั้นเมื่อถามว่า ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ใช้ยาไม่หาย ควรทำอย่างไรดีนั้น คำตอบคือกลับไปพบหมอเพื่อปรับยาให้เหมาะสมกับอาการ และหากไม่ดีขึ้นจริงๆ ก็ให้ลองเปลี่ยนหมอ

เพราะเคยมีญาติที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า รักษาอยู่กับหมอคนหนึ่ง กินยาอยู่เป็นปีครึ่งปีก็ไม่มีทีท่าดีขึ้น เลยลองเปลี่ยนหมอ พบว่าแค่สองเดือนอาการดีขึ้นผิดหูผิดตา (ระยะเวลาอาจไม่เท่ากัน แล้วแต่อาการของแต่ละคน)

สอบถามกันไปมาพบว่า หมอคนเดิมได้แต่ให้กินยาแบบเดิม ไม่ปรับยา แถมชวนคุยและแนะนำแต่เรื่องการไปปฏิบัติธรรม ชวนคุยเรื่องปัญหาชีวิตที่เผชิญอยู่ ซึ่งมันไม่ช่วยอะไรสำหรับคนป่วยที่ “สมอง” ไม่ใช่ที่ “ใจ” และต้องการ “จิตแพทย์” มากกว่า “นักจิตวิทยา”

โรคซึมเศร้าเกิดจากสารเคมีในสมองที่ไม่สมดุล หากบอกให้คนเมาเหล้า (เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่มีผลต่อสมอง) ไปนั่งทำความเข้าใจชีวิตหรือนั่งสมาธิไม่ได้ฉันใด ก็บอกให้คนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไปทำอย่างเดียวกันไม่ได้ฉันนั้น

To loop between two dates in PHP, you can use the DateTime class along with a loop. Here’s an example that demonstrates how to achieve this:

php
<?php
$startDate = new DateTime('2023-07-01');
$endDate = new DateTime('2023-07-07');

$currentDate = clone $startDate;

while ($currentDate <= $endDate) {
echo $currentDate->format('Y-m-d') . "\n";
$currentDate->add(new DateInterval('P1D')); // Add 1 day to the current date
}
?>

In this example, we have a start date ($startDate) and an end date ($endDate). We create a new instance of the DateTime class for both dates. We also create a variable called $currentDate and set it to the value of $startDate using the clone keyword.

We then enter a while loop that continues until the $currentDate is less than or equal to the $endDate. Inside the loop, we echo the current date using the format method to display it in the desired format.

After printing the current date, we increment the $currentDate by 1 day using the add method and the DateInterval class with the interval specification P1D (which means one day). This ensures that we move to the next date in each iteration of the loop.

By running this code, you will see the dates between the start and end dates printed in the specified format.

Understanding PHP Multi-threading vs Single-threading

PHP, traditionally, is known for being a single-threaded programming language. However, modern advancements and extensions have enabled PHP to exhibit multi-threaded behavior, providing developers with the ability to handle concurrent operations. To grasp the nuances of PHP multi-threading and single-threading, let’s delve into their definitions, functionalities, and applications.

Single-threading in PHP

In a single-threaded environment, a PHP script executes its instructions sequentially, one after another. It processes each task or operation before moving on to the next. This means that while one task is being executed, all other tasks or requests must wait, potentially causing delays in responsiveness.

PHP, in its fundamental form, operates in this single-threaded manner. For instance, in a typical web server environment, when a PHP script is handling a request, it does so sequentially — handling database queries, calculations, and other operations one by one.

Multi-threading in PHP

Multi-threading, on the other hand, involves executing multiple threads (independent paths of execution) within the same program simultaneously. Each thread can perform distinct tasks concurrently, thereby improving the efficiency and speed of the program.

In PHP, achieving multi-threading traditionally wasn’t straightforward due to the limitations of the PHP core. However, extensions like Swoole and pthreads have facilitated multi-threading in PHP. These extensions enable PHP scripts to create and manage multiple threads, each capable of executing different tasks concurrently.

Key Points about PHP Multi-threading:

  1. Concurrency: Multiple threads can execute operations at the same time, allowing for parallel processing and concurrent task handling.
  2. Improved Performance: When handling computationally intensive or I/O bound tasks, multi-threading can significantly enhance performance by leveraging the processing power of multiple CPU cores.
  3. Complexity and Synchronization: Multi-threaded programming introduces complexities related to thread synchronization, data sharing, and preventing race conditions, which need to be carefully managed.

Use Cases and Considerations

Single-threading Use Cases:

  • Simplicity and Predictability: Single-threading is ideal for applications where the processing is straightforward and doesn’t necessitate parallelism.
  • Sequential Processing: In cases where tasks must be performed sequentially or where parallel execution isn’t a significant requirement.

Multi-threading Use Cases:

  • Concurrency Requirements: Applications that demand concurrent handling of tasks, such as real-time systems or servers, benefit from multi-threading.
  • Efficient Resource Utilization: Multi-threading can make efficient use of modern multi-core processors, enhancing the overall performance of the application.
  • I/O Bound Operations: Applications with operations that spend a lot of time waiting for I/O, like reading from a file or making network requests, can greatly benefit from multi-threading by allowing other threads to perform tasks during the waiting periods.

Conclusion

Understanding the differences between single-threading and multi-threading in PHP is crucial for developing efficient and responsive applications. While PHP is fundamentally single-threaded, extensions like Swoole and pthreads have opened up the possibility of multi-threading, providing developers with the tools to handle concurrent tasks and improve application performance.

Choosing between single-threading and multi-threading depends on the specific needs of your application. For simple, sequential operations, single-threading suffices, while multi-threading is essential for concurrent and parallel processing, making it a valuable tool for building efficient and responsive PHP applications. It’s essential to evaluate your application’s requirements and carefully consider the advantages and challenges presented by each approach to select the most suitable model for your use case.

A Comparative Analysis: ReactPHP vs Swoole for Asynchronous PHP Applications

Asynchronous programming has gained significant traction in recent years, allowing developers to build highly performant, scalable, and responsive applications. In the realm of PHP, two popular solutions stand out for enabling asynchronous capabilities: ReactPHP and Swoole. Both frameworks empower developers to handle concurrent connections and events efficiently, but they differ in architecture and use cases.

ReactPHP: Event-Driven Asynchronous PHP

ReactPHP is a well-established, event-driven, non-blocking I/O PHP framework. It leverages event loops and promises to enable asynchronous operations. This allows developers to create responsive applications that can handle multiple events and I/O operations simultaneously without blocking.

Key Features of ReactPHP:

  1. Event Loop: ReactPHP operates on the principle of an event loop, where it continuously checks for events and triggers corresponding callbacks when an event occurs.
  2. Non-blocking I/O: It uses non-blocking I/O operations, allowing multiple operations to occur concurrently, enhancing performance and responsiveness.
  3. Promises: ReactPHP utilizes promises to handle asynchronous operations and manage their results or errors.

Use Cases for ReactPHP:

  • WebSockets: ReactPHP is ideal for building real-time applications like chat applications or live dashboards that rely on WebSockets.
  • Long Polling: Applications requiring long-polling capabilities can benefit from ReactPHP, ensuring efficient resource usage for handling multiple long-lived connections.
  • I/O Intensive Tasks: Tasks involving extensive I/O operations can be efficiently managed using ReactPHP, such as file uploads or downloads.

Swoole: High-Performance Coroutine-Based PHP

Swoole is another powerful tool in the PHP ecosystem that facilitates asynchronous programming. It is known for its high performance and efficiency, primarily due to its coroutine-based architecture. Swoole enables concurrent execution of tasks within a single thread, optimizing resource utilization and boosting throughput.

Key Features of Swoole:

  1. Coroutines: Swoole’s coroutines allow lightweight multitasking within a single thread, enabling high concurrency and efficient resource utilization.
  2. Asynchronous I/O: It provides built-in support for asynchronous I/O operations, making it well-suited for handling a large number of connections simultaneously.
  3. Networking Features: Swoole includes features for event-driven networking, asynchronous file system operations, and process management.

Use Cases for Swoole:

  • High-Performance Servers: Swoole is widely used for building high-performance servers, such as HTTP servers or microservices, due to its efficient handling of concurrent connections.
  • API Services: Applications requiring high throughput for API services can leverage Swoole to process numerous requests concurrently.
  • Real-time Applications: Swoole is suitable for applications demanding real-time updates, making it an excellent fit for gaming servers, messaging applications, or financial trading platforms.

Performance Comparison

In terms of raw performance, Swoole generally surpasses ReactPHP due to its coroutine-based architecture. Coroutines in Swoole allow lightweight multitasking within a single thread, resulting in high concurrency and efficient resource usage. Swoole is particularly known for achieving remarkable throughput and low latency in server applications.

However, the choice between ReactPHP and Swoole should align with the specific requirements of the application. ReactPHP’s event-driven model might be more suitable for certain types of applications, while Swoole’s coroutine-based approach might be a better fit for others. It’s essential to assess the application’s requirements, complexity, and expected workload to make an informed decision.

Conclusion

Both ReactPHP and Swoole are powerful tools for enabling asynchronous programming in PHP, each with its own strengths and optimal use cases. ReactPHP, with its event-driven model, is excellent for applications with numerous concurrent events or I/O operations. On the other hand, Swoole, with its coroutine-based approach, excels in high-performance server applications that require efficient handling of a massive number of concurrent connections.

Ultimately, the choice between ReactPHP and Swoole depends on your application’s specific requirements, including the nature of operations, expected concurrency, and desired performance. Developers should carefully evaluate these factors and conduct performance tests to determine the best fit for their particular use case. Both frameworks have vibrant communities and active development, ensuring continuous enhancements and improvements, further solidifying their positions as valuable tools in the PHP developer’s toolkit.

Preventing Frame Flashing during Reload: A User-Friendly Approach

Reloading a web page or frame can often lead to an unsightly flash or flicker, disrupting the user experience. This phenomenon, known as frame flashing, occurs when the content of a webpage changes, causing a momentary display of a blank or partially loaded page. This can be particularly bothersome for users, especially when navigating between different sections of a website. Fortunately, there are strategies and techniques available to mitigate or eliminate this issue, ensuring a smoother browsing experience. In this article, we’ll explore some methods to prevent frame flashing during reload operations.

Understanding Frame Flashing

Frame flashing is a common occurrence when a webpage is reloaded or when the content of a frame within a webpage is changed dynamically. During this transition, the browser momentarily displays a blank frame or the loading state of the new content, causing an abrupt visual disruption. This not only affects the aesthetics of the webpage but can also be confusing and irritating for the user.

The Preloading Strategy

Preloading is a technique that involves loading necessary resources before replacing the current content, significantly reducing frame flashing. By fetching and caching essential resources in advance, the browser can smoothly transition to the new content without displaying empty or partially loaded elements.

1. Identifying Elements Causing the Flash

To start, identify the specific elements or resources that are causing the frame flash during reload. These could include images, stylesheets, scripts, or other content that needs to be loaded.

2. Preloading Necessary Resources

To preload resources, utilize the <link rel="preload"> HTML tag or JavaScript’s fetch() function. This instructs the browser to fetch and cache the critical resources in preparation for the upcoming content.

html
<link rel="preload" href="styles.css" as="style" onload="this.onload=null; this.rel='stylesheet'">

The onload event changes the rel attribute to “stylesheet” once the resource is loaded.

3. Asynchronous Loading for Non-critical Resources

Load non-essential resources like images and non-critical scripts asynchronously using JavaScript. This ensures they don’t block the rendering of critical content, minimizing the chances of frame flashing.

4. Using CSS Techniques

Leverage CSS to hide or style the frame during the reloading process, providing a smoother transition. Adjust the opacity or apply loading animations to improve visual continuity.

css
#frame {
opacity: 0;
transition: opacity 0.3s ease-in-out;
}
#frame.loading {
opacity: 0;
}#frame.loaded {
opacity: 1;
}

Toggle classes like loading and loaded on the frame element to control visibility or apply different styles during the reload.

5. Implementing a Loading State

Incorporate a loading indicator or a placeholder to inform users that the page is reloading. This sets the right expectations and enhances the user experience.

6. Optimizing Server Response

Optimize your server’s response to ensure quick delivery of necessary resources. Minimize delays and optimize your code to create a smoother experience during the reload.

Conclusion

Frame flashing can be a significant annoyance for users during web page reloads. Employing preloading strategies, optimizing resource loading, and utilizing CSS techniques to manage the transition can significantly reduce or eliminate this issue. By implementing these approaches, web developers can ensure a more seamless and pleasant user experience during reloads, enhancing the overall usability of their websites.